ทุกขะนิโรธะคามินี และมรรคมีองค์ 8 ควารให้เจริญอันเราเจริญแล้ว
สวัสดีและเจริญพร นศ.วิชาธัมมจักกัปปวัตนสูตรทุกท่าน
วันนี้ได้นำความหมายของทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ หรือเรียกว่า มรรค 8 มาฝากทุกท่าน
อธิบายคำแปลและความหมายธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนที่ 6 ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทาอริยสัจ
มรรคทั้ง 8 ประการ เป็นหนทางนำไปสู่นิโรธความดับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เป็นทางสายกลางที่ไม่ข้องแวะด้วยทางสุดโต่งสองสายที่คนในยุคนั้นเข้าใจกันว่าเป็นทางดับทุกข์ จัดเป็นแนวทางแห่งการพัฒนาตนจากปุถุชนคนธรรมดา ขึ้นสู่ความเป็นพระอริยเจ้า
(ตรัสรู้ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทาอริยสัจ)
(สัจจญาณ)
อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ (มรรคมีองค์ 8) เป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
(กิจจญาณ)
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นแล ควรให้เจริญ
(กตญาณ)
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นแล อันเราเจริญแล้ว
มรรคทั้ง 8 นั้นประกอบด้วย
- 1. สัมมาทิฐิ ความเห็นถูก
- 2. สัมมาสังกัปปะ ความดำริถูก
- 3. สัมมาวาจา การพูดถูก
- 4. สัมมากัมมันตะ การกระทำถูก
- 5. สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพถูก
- 6. สัมมาวายามะ ความพยายามทำในสิ่งที่ถูก
- 7. สัมมาสติ ความมีจิตสำนึกถูกต้อง
- 8. สัมมาสมาธิ ความตั้งใจถูกต้อง
อธิบายอริยมรรคทั้ง 8 ประการ
- 1. สัมมาทิฐิ ความเห็นถูก คือทัศนคติที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต
เพราะในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคน สิ่งที่เป็นส่วนสำคัญก็คือทัศนคติในการดำเนินชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นจากความเชื่อ ความรู้ หรือประสบการณ์ เป็นเหมือนกับเข็มทิศในการใช้ชีวิต การวางเป้าหมายในชีวิต รวมไปนึกถึงจิตสำนึกที่ตระหนักผิดชอบชั่วดี พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสสัมมาทิฐิเป็นข้อแรกสุดของมรรค 8 สัมมาทิฐินี้มีอยู่ 10 ประการคือ
- 1. ทานที่ให้แล้วมีผล
- 2. การบวงสรวง (การสงเคราะห์ช่วยเหลือกัน) มีผล
- 3. การบูชา (การยกย่องนับถือ) มีผล
- 4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีหรือทำชั่วมีจริง
- 5. โลกนี้มีจริง
- 6. โลกหน้ามีจริง
- 7. มารดามี (พระคุณ) จริง
- 8. บิดามี (พระคุณ) จริง
- 9. สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ (เกิดขึ้นได้เอง ไม่ต้องมีพ่อแม่ เช่นเทวดา) มีจริง
- 10. สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติชอบตรัสรู้ธรรมและสั่งสอนให้ผู้อื่นตรัสรู้ตาม (พระพุทธเจ้า) มีจริง
พระราชภาวนาจารย์ (เผด็จ ทตฺตชีโว) ท่านได้อธิบายความหมายของสัมมาทิฏฐิไว้ว่า สัมมาทิฏฐิ คือ ความเข้าใจถูกในเรื่องการดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง และท่านยังได้แบ่ง
สัมมาทิฏฐิทั้ง 10 ประการออกเป็นสามส่วน ดังนี้
· สัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 – 4 ท่านได้จัดเป็นความเข้าใจถูกในดำเนินชีวิตให้เป็นสุขในชาตินี้
· สัมมาทิฏฐิข้อที่ 5 – 9 ท่านได้จัดเป็นความเข้าใจถูกในดำเนินชีวิตให้เป็นสุขในชาติต่อไป
· สัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ท่านได้จัดเป็นความเข้าใจถูกในดำเนินชีวิตให้ถึงสุขอันไพบูลย์ คือการหลุดพ้นจากเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์
- 2. สัมมาสังกัปปะ การคิดดี ได้แก่ละเว้นมโนทุจริต 3 คือ อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฐิ ปฏิบัติมโนสุจริต 3 คือ อนภิชฌา อพยาบาท สัมมาทิฐิ
- 3. สัมมาวาจา การพูดดี ได้แก่ละเว้นวจีทุจริต 4 คือการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดทำร้ายจิตใจ และพูดเพ้อเจ้อ ปฏิบัติวจีสุจริต 4 คือการไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดทำร้ายจิตใจ และไม่พูดเพ้อเจ้อ
- 4. สัมมากัมมันตะ การทำดี ได้แก่ละเว้นกายทุจริต 3 คือฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ปฏิบัติกายสุจริต 3 คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
- 5. สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพอย่างถูกต้อง ไม่ผิดศีลธรรม ได้แก่ไม่ผิดมิจฉาวณิชชา 5 ประการ (ค้าอาวุธ ค้ายาพิษ ค้าสัตว์ให้เขาเอาไปฆ่า ค้ามนุษย์ ค้าสุราเมรัย)
- 6. สัมมาวายามะ ความพยายามในการปฏิบัติมรรค 7 ประการที่เหลือให้บริบูรณ์ เป็นตัวขับเคลื่อนมรรคให้สมบูรณ์
- 7. สัมมาสติ ความระลึกถูกต้องคือ มีสติมั่นเตือนตนในการทำความดี โดยไม่เผลอไปทำความชั่ว สัมมาสติเป็นตัวควบคุมให้การปฏิบัติมรรค 8 เป็นไปด้วยดี
- 8. สัมมาสมาธิ ความสงบนิ่งของใจ ที่ไม่วอกแวกฟุ้งซ่าน ซึ่งเกิดได้ด้วยการเจริญสมถกัมมัฏฐาน ซึ่งต้องอาศัยมรรค 7 ประการข้างต้นสนับสนุนด้วย
สัมมาทิฐิทั้ง 10 ประการนี้แล เป็นตัวนำให้เกิดการคิดดี (สัมมาสังกัปปะ) พูดดี (สัมมาวาจา) ทำดี (สัมมากัมมันตะ) จนตลอดต่อเนื่องไปชั่วชีวิต เป็นการเลี้ยงชีพโดยถูกต้อง (สัมมาอาชีวะ) ความพยายามทำความดีอย่างต่อเนื่องนี้ เป็นความพยายามที่ถูกต้อง (สัมมาวายามะ) ในการละชั่ว ทำดี สติที่คอยกำกับการละชั่ว ทำดีนี้ก็เป็นสัมมาสติ สัมมาทิฐิทั้ง 7 ข้อนี้ รวมกันจะทำให้เกิดสัมมาสมาธิ การทำใจให้ผ่องใส ซึ่งเป็นตัวนำไปสู่นิโรธนั้นเอง (จะกล่าวว่า ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน คือสัมมาสมาธิก็ไม่ผิดนัก เพราะสัมมาสมาธินี้หมายเอาการเจริญภาวนาตามกัมมัฏฐานทั้งสองโดยตรง) มรรคทั้ง 8 ประการมีผลเนื่องถึงกันเช่นนี้
นอกจากการอธิบายมรรค 8 ในทางโลกิยะแล้ว ยังมีมรรค 8 ในทางโลกุตตระเช่นกัน ถ้าหากในทางฝ่ายโลกิยะมรรค 8 ก็คือการละชั่ว ทำดีทางกาย วาจา และใจ โดยมีสัมมาทิฐิเป็นตัวนำแล้ว ในทางโลกุตตระมรรค 8 ก็คือการทำให้ใจผ่องใสยิ่งๆขึ้นไป โดยปล่อยวางความยึดติดในขันธ์อันเกิดจากตัณหา เพื่อเข้าถึงฌาน ปล่อยวางความยึดติดในฌาน เพื่อเข้าถึงมรรคผลไปตามลำดับ ว่าง่ายๆก็คือมรรค 8 ฝ่ายโลกิยะเป็นการละเว้นบาป สั่งสมบุญทำความดี อันจะยังประโยชน์ให้เกิดในภพปัจจุบัน และสัมปรายภพเบื้องหน้า ส่วนมรรค 8 ฝ่ายโลกุตตระเป็นการละกิเลสในจิตใจไปตามลำดับ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสในวิภังคสูตร แห่งอริยมรรค 8 ประการว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน? ความรู้ในทุกข์ ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ.
สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน? ความดำริในการออกจากกาม ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ.
สัมมาวาจาเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ นี้เรียกว่า สัมมาวาจา.
สัมมากัมมันตะเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน จากอพรหมจรรย์ นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ.
สัมมาอาชีวะเป็นไฉน? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จชีวิตอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ.
สัมมาวายามะเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ.
สัมมาสติเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ ฯลฯ ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ ฯลฯ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย นี้เรียกว่า สัมมาสติ.
สัมมาสมาธิเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ" และเมื่อได้ปฏิบัติมรรคฝ่ายโลกุตตระได้สมบูรณ์แล้ว จะทำให้เกิดมรรคอีก 2 ประการคือ สัมมาญาณะ (ความรู้ถูกต้อง) และสัมมาวิมุตติ (ความหลุดพ้นอย่างถูกต้อง) ดังพุทธพจน์ในมหาจัตตารีสกสูตรว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ
ผู้มีสัมมาทิฐิ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาทิฐิได้ ทั้งอกุศลธรรมลามกเป็นอเนกบรรดามี เพราะมิจฉาทิฐิเป็นปัจจัยนั้น ก็เป็นอันผู้มีสัมมาทิฐิสลัดได้แล้วและกุศลธรรมเป็นอเนก ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะสัมมาทิฐิเป็นปัจจัย ฯ
ผู้มีสัมมาสังกัปปะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสังกัปปะได้...
ผู้มีสัมมาวาจา ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวาจาได้...
ผู้มีสัมมากัมมันตะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉากัมมันตะได้...
ผู้มีสัมมาอาชีวะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาอาชีวะได้...
ผู้มีสัมมาวายามะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวายามะได้...
ผู้มีสัมมาสติ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสติได้...
ผู้มีสัมมาสมาธิ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสมาธิได้...
ผู้มีสัมมาญาณะ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาญาณะได้...
ผู้มีสัมมาวิมุตติ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวิมุตติได้ ทั้งอกุศลธรรมลามก เป็นอเนกบรรดามี เพราะมิจฉาวิมุตติเป็นปัจจัยนั้น ก็เป็นอันผู้มีสัมมาวิมุตติสลัดได้แล้ว และกุศลธรรมเป็นอเนกย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะสัมมาวิมุตติเป็นปัจจัย"
ทั้งในฝ่ายโลกิยะหรือโลกุตตระ อริยมรรค 8 ก็เป็นหนทางนำไปสู่นิโรธความดับทุกข์ทั้งปวง มัชฌิมาปฏิปทาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เป็นข้อปฏิบัติที่ชาวพุทธทุกคนควรยึดเป็นแนวทางละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใสของตนสืบไป
พระพุทธเจ้าทรงค้นพบมัชฌิมาปฏิปทา ปฏิปทาอันนำไปสู่นิโรธ อริยสัจข้อสำคัญที่ทำให้พระองค์ตรัสรู้อริยสัจทั้ง 4 สำเร็จ ทรงตรัสรู้ว่าเป็นทางไปสู่นิโรธ เป็นข้อปฏิบัติที่ควรทำให้เจริญ และพระองค์ก็ทำสำเร็จในที่สุด
อริยสัจทั้ง 4 พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วด้วยประการฉะนี้.
จบตอนที่ 6
อ้างอิง
- วิภังคสูตร อริยมรรค 8 http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=19&A=174&Z=210
- มหาจัตตารีสกสูตร <http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=3724&Z=3923&pagebreak=0>
- หนังสือสร้างปัญญาเป็นทีม โดยพระราชภาวนาจารย์ (เผด็จ ทัตตชีโว)