1.อานุภาพพระของขวัญ
อานุภาพพระของขวัญ
เรื่องการสร้างพระของขวัญนี้ หลวงปู่มีดำริให้สร้างขึ้น เพื่อหาทุนสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมด้วยการมอบให้กับญาติโยมที่มีกุศลศรัทธาร่วมบริจาคเงินทำบุญตั้งแต่ 25 บาทขึ้นไป ท่านจะมอบพระผงให้ 1 องค์ เพื่อไว้สักการบูชา เป็นเครื่องระลึกนึกถึงพระพุทธคุณ และระลึกนึกถึงบุญที่ได้ร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม พระผงที่สร้างขึ้นนี้เป็นรูปองค์ มเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปางประทานพรด้านหลังจารึกเป็นอักษรขอมว่า ธรรมขันธ์ โดยท่านตั้งชื่อว่า "พระของขวัญ"ส่วนผสมของพระผงที่หลวงปู่สร้างขึ้น ได้แก่ ผงแป้ง ดอกไม้หอมที่ได้บูชาพระประจำเช้าเย็น ดอกบัวดอกมะลิ เกสรดอกไม้ เป็นต้น นำมาตากแดดให้แห้ง เอามาป่นแล้วผสมกับผงแป้ง ที่สำคัญ คือ เส้นเกศาของหลวงปู่ส่วนผสมทั้งหมดนี้นำมาปันเป็นก้อนแล้วอัดเป็นบล็อกออกมาในการรับพระของขวัญ ผู้รับจะรับได้เพียงองค์เดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะทำบุญเท่าไรก็ตาม หลวงปู่จะแจกให้เพียงองค์เดียว จะฝากรับแทนกันก็ไม่ได้ เมื่อรับไปแล้ว หากทำหายจะมารับอีกหลวงปู่ก็ไม่ให้เหมือนกัน สมเด็จป๋าเคยถามหลวงปู่ว่า "เมื่อเขามาทำบุญตั้งพันบาทเช่นนั้น จะให้ของขวัญสัก 5 องค์10 องค์ ไม่ได้หรือ" หลวงปู่ตอบว่า "พระของเรามีคุณภาพสูงยิ่งกว่าราคาใดๆ เงินพันบาทหมื่นบาทยังไม่เหมาะสมกับคุณภาพของพระเสียอีก"แม้กระทั่ง สมเด็จป๋าเองได้รับพระจากหลวงปู่มาองค์หนึ่ง ต่อมาได้มอบพระของขวัญให้แก่เด็กคนหนึ่งไป เมื่อคราวที่พ่อแม่มาขอให้ตั้งชื่อให้ วันหนึ่งไปขอพระของขวัญกับหลวงปู่ใหม่ หลวงปู่ไม่ยอมให้ท่านบอกว่าต้ององค์เดียว ต่อมาไปพูดเลียบเคียงจะขออีกครั้ง หลวงปู่นิ่งเฉยไม่ยอมตอบ เป็นอันว่าไม่ให้แน่การแจกพระผงนั้น หลวงปู่ไม่ให้ใครนำออกไปแจกนอกวัด ต้องมารับที่วัดปากน้ำ และต้องรับจากมือหลวงปู่เท่านั้น ใครจะแจกแทนไม่ได้ แม้ว่าในบางครั้งท่านจะให้พระแก่ผู้ใดเป็นการส่วนตัวท่านก็ยังต้องบริจาคปัจจัยทำบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติให้แก่วัดเหมือนกัน เพราะท่านถือว่าท่านทำให้แก่วัด มิใช่ทำเพื่อส่วนตัว จะเอาเปล่าๆ ไม่ได้
ครั้งหนึ่ง สมเด็จป๋าพูดกับหลวงปู่ว่า จะขอพระของขวัญจากหลวงปู่ จะเอาติดตัวไปตามหัวเมืองต่างๆ เมื่อใครต้องการจะได้ให้เป็นของขวัญแก่เขา หลวงปู่พูดว่า "ทำอย่างนั้นไม่ได้ พระของเรามีคุณภาพจริง ผู้อยากได้ต้องมาเอง ถ้าเอาไปอย่างนั้น ของดีก็กลายเป็นของเก๊ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส" หลวงปู่ยังพูดแถมท้ายอีกว่า "อย่ากลัวเลย แปดหมื่น สี่พัน 2 หนก็ไม่พอแจก" และก็เป็นจริงอย่างที่หลวงปู่พูดไว้ ทั้งๆ ที่ทางวัดไม่ได้ทำใบปลิวแจ้งข่าว ในช่วงแรกจะรู้ข่าวกันเฉพาะภายในวัดปากน้ำก่อน เมื่อเกิดอานุภาพขึ้นกับตัวผู้ที่ได้รับพระไป ก็ทำให้ข่าวความศักดิ์สิทธิ์ของพระของขวัญแพร่กระจายออกไปทั่วประเทศเองโดยอัตโนมัติ ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลกันมากราบหลวงปู่เพื่อขอรับพระของขวัญกันมากมาย ที่เหมาเรือมาจากต่างจังหวัดนั้นมีเป็นประจำ ที่เดินทางมาจากต่างประเทศก็มากในปี พ.ศ. 2493 ได้จัดพิมพ์พระของขวัญรุ่น 1 เป็นจำนวน 84,000 องค์ มีเจ้าของทุกองค์
คนที่เป็นเจ้าของ เมื่อถึงเวลาไม่ว่าอยู่ไกลแค่ไหนก็จะข้ามน้ำข้ามทะเลมาเอา เมื่อแจกพระของขวัญไปได้ครึ่งหนึ่ง หลวงปู่ก็สั่งให้ทำพระของขวัญรุ่น 2 ขึ้นอีกเป็นจำนวน 84,000 องค์ ในปี พ.ศ. 2494 และหลังจากที่แจกพระของขวัญรุ่น 2 หมดไปครึ่งหนึ่ง หลวงปู่ก็อาพาธ (พ.ศ. 2499) จึงได้มอบหน้าที่นี้ให้แก่พระครู สมณธรรม สมาทาน (ธีระ คล้อสุวรรณ)1 ในระหว่างที่หลวงปู่อาพาธ ท่านได้สั่งทำพระของขวัญรุ่น 3 อีกจำนวน 84,000 องค์ พระของขวัญที่หลวงปู่ทำจึงมีเพียง 3 รุ่นเท่านั้น แล้วก็หมดทุกองค์ไม่พอแจกจริงๆพระของขวัญรุ่น 1 ได้ทำพิธีบรรจุอานุภาพพระธรรมกายตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตลอดพรรษา หลวงปู่นำออกมาแจกให้กับผู้ร่วมทำบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมในวันแรม 6 ค่ำ เดือน 11 พ.ศ. 2493 ในอภิลักขิต มัยคล้ายวันเกิดของท่าน ณ พระอุโบสถวัดปากน้ำพระของขวัญรุ่น 2สร้างเมื่อ พ.ศ. 2494 แต่นำออกมาแจกเมื่อ พ.ศ. 2497พระของขวัญรุ่น 3สร้างเมื่อ พ.ศ. 2499 นำออกมาแจกเมื่อ พ.ศ. 2505ใน สมัยนั้นหลวงปู่ท่านลงแจกพระตามเวลาดังนี้เช้า หลังฉันภัตตาหารเช้ากลางวัน หลังฉันภัตตาหารเพล ตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไป บางวันมีคนมามาก แจกถึง3 โมงเย็นก็มีเย็น หลัง 5 โมงเย็นเป็นต้นไปในช่วงที่มีคนมารับพระมาก หลวงปู่ย้ายไปแจกพระที่พระอุโบสถ โดยท่านจัดให้มีพระภิกษุคอยจัดคนเข้าออกคนละประตู คือ ประตูหน้าสำหรับเข้าไปรับพระ ออกทางประตูหลัง พอคนเต็มหลวงปู่จะสั่งให้ปิดประตูพระอุโบสถ คอยจนกว่าคนที่ข้างในเริ่มน้อยลงแล้วจึงเปิดประตูหน้าให้คนเข้าไปใหม่ทำให้ใน สมัยนั้นวัดปากน้ำคึกคักเหมือนมีงานมหรสพในวันหนึ่งๆ หลวงปู่ต้องอธิบายให้ผู้ที่จะรับพระของขวัญได้ทราบถึงวิธีอาราธนา และใช้พระของขวัญเป็นร้อยเป็นพันครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันวิสาขบูชา มีคนเดินทางมารับพระของขวัญประมาณ 1,500 คน ต่อมาในปี พ.ศ. 2496 ทางวัดได้ซื้อเครื่องบันทึกเสียงเพื่อบันทึกเสียงของหลวงปู่ไว้ เป็นการแบ่งเบาภาระของท่าน ได้บันทึกเสียงการอธิบายของหลวงปู่ไว้ 2 แบบ แบบแรกใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ท่านจะอธิบายโดยละเอียดถี่ถ้วน แบบที่ 2 ใช้เวลาอธิบายประมาณ 15 นาทีสำหรับเปิดในกรณีที่มีผู้คนมาเป็นจำนวนมาก และผู้มารับพระมีเวลาน้อย รีบร้อนจะกลับ หลวงปู่ถึงกับออกปากว่า การใช้เครื่องบันทึกเสียงนั้นดีมากสามารถช่วยแบ่งเบาภาระได้มากในการรับพระของขวัญนั้น หลวงปู่ท่านได้เมตตาให้คำอธิบายพระของขวัญ และยังได้เล่าถึงอานุภาพพระของขวัญที่ผู้ที่ได้รับไปแล้วประสบกับตัวเองไว้ด้วย ดังนี้"บัดนี้ ท่านทั้งหลายทั้งหญิงและชาย ได้เสียเวลา สละให้เป็นส่วนของพระพุทธศาสนาโดยตรงมา สมทบทุนสร้างโรงเรียนพระปริยัติ ที่ท่านได้เสีย ละโลกียทรัพย์สร้างโรงเรียนพระปริยัติอย่างนี้ ได้ชื่อว่าทำถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนา เรียกว่าเป็นศาสนสมบัติให้ศาสนาแล้ว ท่านผู้สร้างสมบัติให้ศาสนานั่นแหละ จักเป็นเหตุที่ตั้งให้มีสมบัติไม่รู้จักสิ้นเสื่อมเหตุนี้ ท่านทั้งหลายที่ได้เสียสละทรัพย์ลงไปแล้ว 25 บาท 30 บาท 50 บาท ตามศรัทธาของตนที่สละลงไปนั้น ก็ได้ชื่อว่าทำผลถาวรให้แก่เจ้าของ เจ้าของทรัพย์นั่นเองได้รับผลต่อไปภายภาคหน้า ที่ฝากไว้ในพระพุทธศาสนาเช่นนี้ไม่เสื่อมทรามนับชาติไม่ถ้วน เพราะท่านบริจาคของ ท่าน ละทรัพย์ จะส่งผลให้ท่าน ในมนุษย์ก็จะส่งผลของมนุษย์ให้ ในทิพย์ก็จะส่งผลที่เป็นทิพย์ให้ ในกามภพนี้จะได้ สบสมบัติในภายหน้านับประมาณไม่ได้ เหตุนี้ดังนี้ ท่านทั้งหลายได้เป็นผู้อุปถัมภ์พระศาสนาเช่นนี้
ฝ่ายทางพระศาสนาที่ได้รับสมบัติของท่าน ก็จะมีของตอบแทนแก่ท่าน คือ ของศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งซึ่งเราทั้งหลายยังไม่เคยพบเคยเห็นว่าศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ อาจจะเป็นได้จริงหรือคาดคะเนไม่ถูกผู้พูดนี้เองเป็นผู้อาราธนาพระพุทธเจ้าในนิพพานมีธรรมกายมากด้วยกันได้ไปอาราธนาพระพุทธเจ้ามานับพระนิพพานไม่ถ้วน นับอสงไขยก็ไม่ถ้วน มาผลิตของขวัญนี้ให้ปรากฏขึ้นในมนุษย์
ธรรมกายในมนุษย์นี้ก็ได้เข้า สมทบด้วยดูแลการงานนั้นๆ ท่านทำอย่างไรก็ทำไปตามท่าน พระพุทธเจ้าท่านจัดแจงทำทั้งนั้นตั้งแต่วันเข้าพรรษาจนกระทั่งถึงวันออกพรรษาวินาทีหนึ่งมิได้หยุดเลย ท่านกระทำความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน พอออกพรรษาแล้ว พอได้อรุณก็สำเร็จด้วยความประสงค์ของท่านในการผลิตของขวัญ องค์ต้นทรงรับสั่งว่า"ของศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้บังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก" แล้วก็หับพระโอษฐ์ทีเดียว เมื่อรับสั่งดังนี้แล้วเราก็คำนวณว่า ศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ไหนเพียงใดคำนวณไม่ถูกผู้พูดนี้ก็ได้ลงมือแจกในวันแรม 6 ค่ำ เป็นวันเกิดของผู้พูดนี้ ได้แจกของขวัญออกไป อัศจรรย์ต่างๆ ความศักดิ์สิทธิ์ของของขวัญนั้น ผู้ที่ได้รับไปแล้ว นางเขียว บางไผ่ เป็นผู้หญิงอายุ 80 กว่า ได้รับพระ เอาไปแล้วเอาไปไว้บนหลังมุ้ง พอค่ำลงเท่านั้นเปล่งรัศมี ว่างเต็มบ้านเต็มช่อง พากันตกตะลึงเพราะไม่รู้เรื่องอะไรกัน ทะเลือกทะลักไปตามกันพักใหญ่นานอยู่ แล้วแสงนั้นก็ค่อยโทรมลงไป โทรมลงไป ก็มารวมอยู่ที่ว่างหลังมุ้ง นางเขียวก็รู้ว่าพระของขวัญเอาไว้ที่นั่น แสงสว่างนี้ออกจากพระของขวัญนั้นเอง แต่เช้าเชียวมาหาผู้พูดนี้ บอกว่าท่าน เมื่อคืนนี้แสงสว่างเกิดที่บ้านดิฉัน พระท่านเปล่งรัศมีสว่างเชียว เดิมทีก็ไม่รู้ว่าอะไร แล้วก็มารวมอยู่ที่พระจึงรู้ว่าพระ รูปร่างนางเขียวเมื่อวันมารับพระของขวัญนั้น มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นประจำอยู่ คืนเดียวเท่านั้น เวลามาบอกเช้าร่างกายเปล่งปลั่งไปหมด แปลกกว่าปกติเดิมทีเดียว ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาไปหมด ดูสะอาดสะอ้าน มีผิวพรรณวรรณะ เขารู้สึกว่าของขวัญนี้อัศจรรย์ แปรชั่วเป็นดีได้ขนาดนี้เชียวหนอ เรารู้สึกว่า ศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่นี้แลหรือ"ผู้ที่ได้รับพระของขวัญไปแขวนประจำตัว ต่างก็ประสบความศักดิ์สิทธิ์ และอภินิหารของพระของขวัญกันมากมายหลายแบบ บางคนก็ทำมาค้าขึ้น ร่ำรวยจนตัวเองก็แปลกใจ บางคนตกต้นตาลสูงๆแล้วไม่เป็นอะไรก็มี บางคนประสบอุบัติเหตุร้ายแรง คนอื่นๆ เสียชีวิตหมด มีแต่ผู้ที่แขวนพระของขวัญเท่านั้นที่รอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารที่ออกรบในสมัยสงครามเกาหลี หลวงปู่ท่านเล่าว่า "ที่เขาเล่าในทางเกาหลี ทหารอังกฤษ อเมริกัน ทหารฝรั่งกำลังคุยกันอยู่ มีทหารไทยอยู่บ้างลูกระเบิดทำลายมันตกลงกลางประชุมกำลังคุยกันอยู่นั้น ปึงเดียวเท่านั้นตายหมด เหลือไทยคนเดียวมีของขวัญอยู่ในตัว ฝรั่งให้เหรียญกล้าหาญแก่ไทยคนนั้นยังปรากฏอยู่ นี่ความศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น"เรื่องอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของพระของขวัญนี้ หนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ ปีที่ 6สัปดาห์ที่ 280 วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 ได้เสนอข่าวตีพิมพ์จดหมายของสิบตรี วาสนา อาคมวัฒนะแห่งกรมผสมที่ 21 ที่เขียนมาจากเกาหลี เล่าถึงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของพระของขวัญที่ตนและเพื่อนอีกคนหนึ่งได้รับไปจากพระเดชพระคุณหลวงปู่ว่ากระสุนปืนใหญ่ของข้าศึกยิงถูกคลังกระสุน ไฟไหม้ถังน้ำมันจนเกิดเป็นแสงอร่ามไปทั่วผู้ที่พักอยู่ในที่นั้นต้องกระจัดกระจายไป ปืนและเครื่องเหล็กละลายไปกับกองไฟใหญ่นั้น เพื่อนทหารคนหนึ่งทิ้งห่อพระไว้ ตอนสายๆ เพลิงค่อย สงบลงจึงรีบรุดไปยังที่นั้นกัน ก็เห็นพระอันน่าประหลาดที่ห่อผ้าเช็ดหน้าแขวนเด่นอยู่กับเสาเหล็ก เป็นที่ประหลาดใจแก่ทหารทั้งหลายเป็นอันมาก เพราะแม้แต่เหล็กก็ยังละลาย แต่ผ้าขาวที่ห่อพระไม่ได้ลงเลขยันต์อะไร กับพระอีกองค์หนึ่งยังคงอยู่ใน สภาพปกติมิได้เสียหายเลย เป็นพระเครื่องวัดปากน้ำ ภาษีเจริญส่วนพระเครื่องของอาจารย์ต่างๆ แหลกละเอียดอีกทั้งตนเองนั้นก็รอดตายจาก สมรภูมิหลายต่อหลายครั้ง เนื่องจากมีการยิงขนาดเผาขนกันไม่เว้นแต่ละวันก็รอดมีชัยมาได้ทุกครั้ง บางครั้งอยู่ในวิถีปืนที่ยิงมาอย่างหนัก ถ้าไม่มีโอกาสเพ่งศูนย์กลางตัวได้ก็เพียงภาวนาดังกล่าว และระลึกถึงอาจารย์ คือ หลวงปู่ ก็พอแล้วสามารถคุ้มกันได้และพลอยคุ้มเพื่อนฝูงไปได้อีกด้วย